“วาฬ” ฮีโร่ดักจับคาร์บอน
  • 6 พฤศจิกายน 2566
  • 1,617 ครั้ง
“วาฬ” ฮีโร่ดักจับคาร์บอน
“วาฬ” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทร ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ที่ช่วยกู้วิกฤตภาวะโลกร้อน เพราะวาฬแต่ละตัวสามารถดักจับคาร์บอนบอนไดออกไซด์ได้ถึงหลายสิบตัน
จากรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ในหัวข้อ Nature’s Solution to Climate Change ระบุว่า ตลอดชีวิตของวาฬหนึ่งตัวสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 33 ตัน
วาฬจะมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 60 ปี และเมื่อวาฬตาย ร่างของมันจะจมลงสู่ทะเลลึกพร้อมคาร์บอนไดออกไซด์ที่เก็บไว้ในตัว สามารถเก็บคาร์บอนไว้ใต้ทะเลลึกถึงร้อยปี เมื่อเทียบกับต้นไม้หนึ่งต้นสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 20 กิโลกรัมต่อปี หากต้นไม้มีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี จะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 2 ตัน ซึ่งน้อยกว่าความสามารถของวาฬ
มูลของวาฬยังสร้างประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ได้ เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและไนโตรเจน ช่วยสร้างการเจริญเติบโตให้แก่ไฟโตแพลงก์ตอน สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนให้โลกได้มากกว่า 50% และดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 370 พันล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 40% มากกว่าป่าแอมะซอนถึง 4 แห่ง หากจำนวนวาฬมีมากไฟโตแพลงก์ตอนก็จะมีมากขึ้นด้วย เรียกได้ว่าที่ไหนมีวาฬ ที่นั่นจะมีไฟโตแพลงก์ตอนที่นั่น
ในปัจจุบันจำนวนของวาฬเหลืออยู่ในมหาสมุทรทั่วโลกราว 1.3 ล้านตัว อาจดูแล้วเหมือนเป็นจำนวนที่มาก แต่จริงแล้วมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องและมีปริมาณการตายสูง ทั้งจากขยะพลาสติกที่ล่าสุดจากการผ่าพิสูจน์ซากวาฬคูเวียร์ ประเทศฟิลิปปินส์ พบขยะพลาสติกในท้องหนักประมาณ 40 กิโลกรัม และกระสอบข้าวอยู่ถึง 16 กระสอบ ยังไม่รวมถึงการลดจำนวนลงจากการถูกล่าอีก แม้ว่าการล่าวาฬเพื่อการค้าจะถูกสั่งห้ามอย่างเป็นทางการในหลาย ๆ ประเทศแต่ยังมีวาฬมากกว่า 1,000 ตัว ถูกล่าทุกปี ทำให้เราอาจต้องใช้เวลามากกว่า 30 ปี ที่จะเพิ่มจำนวนวาฬในปัจจุบันเป็นสองเท่าได้
ถ้าหากสามารถทำให้วาฬเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 4 - 5 ล้านตัวได้ จะช่วยกักคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1,700 ล้านตันต่อปี ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์วาฬ โดยรณรงค์ให้ช่วยกันลดภัยอันตรายที่จะเกิดกับวาฬ ทั้งไม่ล่าวาฬ ลดการใช้และไม่ทิ้งพลาสติกหรือขยะลงสู่ท้องทะเล เพื่อช่วยให้วาฬได้อยู่กันอย่างปลอดภัยและมีจำนวนมากขึ้น เพราะการอนุรักษ์วาฬเท่ากับเราได้เพิ่มจำนวนฮีโร่ที่ช่วยกักเก็บคาร์บอนนั่นเอง
อ้างอิง:

สื่อประชาสัมพันธ์ : กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลและสิ่งแวดล้อม